ในพรรษาที่ ๔๕ อันเป็นพรรษาสุดท้ายแห่งพระชนมายุ พระบรมศาสดา
เสด็จประทับ ณ บ้านเวฬุคาม เขตเมืองไพศาลี ทรงพระประชวรหนักเกิดทุกขเวทนา
แรงกล้า แต่พระพุทธองค์ทรงดำรงพระสติสัมปชัญญะมั่นคงทรงอดกลั้นในทุกขเวทนา
ด้วยความอดทน ทรงเห็นว่ายังมิควรที่จะปรินิพพานในเวลานี้ จึงบำบัดขับไล่อาพาธ
ให้สงบระงับด้วยความเพียรในอิทธิบาทภาวนา
วันหนึ่งจึงทรงปรารภเรื่องชราธรรมประจำพระกายกับพระอานนท์พุทธอุปัฏฐากว่า
“บัดนี้ตถาคตชราภาพ ล่วงกาลผ่านวัยจนชนมายุล่วงเข้า ๘๐ ปีแล้ว
กายของตถาคตทรุดโทรดเสมือนเกวียนชำรุดที่ต้องซ่อม ต้องมัดกระหนาบ
ให้อยู่ด้วยไม้ไผ่อันมิใช่ สัมภาระแห่งเกวียนนั้น เมื่อใดตถาคตเข้า
อนิมิตตเจโตสมาธิ ตั้งจิตสงบมั่น คือ ไม่ให้มีนิมิตใดๆ เพราะไม่ทำนิมิตทั้งหลาย
ไว้ในใจ ดับเวทนาบางเหล่าเสีย และหยุดยั้งอยู่ด้วยอนิมิตตสมาธิ เมื่อนั้น
กายของตถาคตย่อมผ่องใส มีความผาสุกสบาย เพราะธรรมคืออนิมิตตสมาธิ
มีอานุภาพสามารถทำให้ร่างกายของผู้ที่เข้าถึงและหยุดอยู่ด้วยสมาธิ
นั้นมีความผาสุก ฉะนั้นจงมีตนเป็นเกราะมีธรรมเป็นที่พึ่งทุกอิริยาบถเถิด”
“บุคคลรู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์แก่ตน ควรรีบทำสิ่งนั้น ผู้มีความคิด มีความรู้
มีความบากบั่น ไม่ควรเอาเยี่ยงอย่างบุคคลผู้โง่เขลา หลีกออกจากธรรมะ
ไม่ประพฤติตามธรรมะ จวนจะใกล้ตายก็ต้องซบเซา เหมือนพ่อค้าเกวียน
ที่มีเพลาเกวียนหักไปแล้วฉะนั้น”
ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
บทภาพยนตร์
พระอานนท์
พระพุทธองค์ประชวรหนัก เกิดทุกขเวทนาแรงกล้า แต่ยังดำรงสติสัมปชัญญะ
มั่นคง ทรงอดกลั้นทุกขเวทนาด้วยความอดทนอย่างยิ่ง … ระงับขับไล่อาการประชวร
ให้สงบลงด้วยความเพียรในอิทธิบาทภาวนา ทำให้ข้าพระพุทธองค์ยินดีอย่างมาก
ที่พระพุทธองค์จะมีพระชนม์ยืนนานเป็นที่พึ่งของเหล่าสาวกและพุทธบริษัทตลอดไป
พระพุทธเจ้า
อานนท์ … บัดนี้ เราชราภาพอายุล่วงเข้า ๘๐ ปีแล้ว ร่างกายของเราทรุดโทรม
เปรียบเสมือนเกวียนเก่าชำรุดที่ซ่อมแซมดามไว้ด้วยไม้ไผ่ พอให้ใช้งานได้ชั่วคราว
ไม่ยั่งยืน … อาศัยแต่สมาธิภาวนาพอพยุงค้ำร่างกายให้ดำเนินไปได้ …
เธอจงอาศัยตนเองเป็นที่พึ่งเถิด สิ่งอื่นใดที่เป็นที่พึ่งยิ่งกว่าตนเองนั้นไม่มีแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น