วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ตรัสรู้


พระบรมโพธิสัตว์ ทรงกำจัดหมู่มารจนพ่ายแพ้หลบหนีไปจนหมดสิ้น
ก็บังเกิดความเบิกบานพระทัย แล้วทรงเจริญสมาธิภาวนา ตั้งพระทัยมั่น
ทำสมาบัติ ๘ ประการ ให้เกิดขึ้นแล้ว ทรงบรรลุญาณอันเป็นปัญญาตามลำดับ
ในปฐมยามทรงบรรลุ  บุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกอดีตชาติย้อนหลัง
ที่พระองค์ทรงเคยบังเกิดมาแล้วได้ทั้งสิ้น



           ครั้นเวลาล่วงเข้าสู่มัชฌิมยาม ทรงบรรลุ  จุตูปปาตญาณ
เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ทิพพจักขุญาณ   สามารถหยั่งเห็นการเวียนว่ายตายเกิด
ของสรรพสัตว์ ทั้งสัตว์ชั้นต่ำ ชั้นกลาง ชั้นสูง ทั้งในทุคติและสุคติตามสมควรแก่กุศล
และอกุศลที่ตนได้ทำไว้ เปรียบเสมือนคนที่อยู่บนที่สูงใกล้ทาง ๔ แพร่ง
สามารถมองเห็นหมู่ชนที่สัญจรไปมาจากที่ต่างๆ ได้



           เวลารุ่งปัจฉิมยาม พระบรมโพธิสัตว์ก็ทรงบรรลุ อาสวักขยญาณ
ดับสูญสิ้นอาสวกิเลส ตรัสรู้เป็นพระสัพพัญญู ในวันวิสาขปุณณมี ขึ้น ๑๕ ค่ำ
ดิถีเพ็ญกลางเดือน ๖ ปีระกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี



           ขณะนั้น เหตุมหัศจรรย์ต่าง ๆ มีมหาปฐพีเป็นต้นก็เกิดกัมปนาทหวั่นไหว
สั่นสะเทือนทั่วพิภพ   มหาสาครก็ตีฟองคะนองคลื่นดื่นดาดศัพท์สำเนียงเสียงโครมครึก
กึกก้อง สัตว์ต่างๆ ในไพรสณฑ์  ก็พากันส่งเสียงร้องร่าเริงแจ่มใส  สัตว์ที่เคยเป็นศัตรู
คู่อริกันก็กลับกลายเป็นมิตรสนิทสนมมีเมตตาต่อกัน ฝูงนกนานาชนิดก็บินร่อนเริงร่า
ดาดาษกลาดเกลื่อนท้องฟ้าสุดที่จะพรรณนา   บรรดาพฤกษาชาติในราวป่าพณาสณฑ์
ตลอดจนทิพยพฤกษาลดาในเทวอุทยาน   ก็บันดาลผลิดอกออกผลเกลื่อนกล่น
ทั่วทุกกิ่งก้าน  ล้วนแต่เป็นเหตุมหัศจรรย์ครั้งยิ่งใหญ่

           พระสัพพัญญูพุทธเจ้า ยังคงประทับ ณ รัตนบัลลังก์ นั้นเสวยวิมุตติสุข
ทรงเข้าสมาบัติอนุปุพพวิหาร ๙ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ และสัญญาเวทยิตนิโรธ ๑



           ครั้นล่วง ๗ วัน พระองค์เสด็จลงจากรัตนบัลลังก์ เสด็จดำเนินไปทาง
ทิศตะวันออกเฉียงเหนือเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์   แล้วประทับยืนทอดพระเนตร
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร เป็นการระลึกถึงคุณของต้นพระศรีมหาโพธิ์
อันเป็นสถานที่ตรัสรู้พระสัจธรรมอันประเสริฐบริสุทธิ์ สถานที่นี้มีชื่อเรียกว่า
“อนิมิสเจดีย์”



           ครั้นล่วง ๗ วัน พระองค์เสด็จจากอนิมิสเจดีย์มาประทับหยุดอยู่ระหว่าง
ต้นศรีมหาโพธิ์ กับอนิมิสเจดีย์ แล้วทรงเนรมิตสถานที่จงกรมขึ้น ณ ที่นั้น
เสด็จจงกรมอยู่เป็นเวลา ๗ วัน สถานที่นั้นได้นามว่า “รัตนจงกรมเจดีย์”



           ครั้นล่วง ๗ วัน พระองค์เสด็จไปสู่รัตนฆรเจดีย์  ซึ่งเทวดาเนรมิตเรือนแก้ว
ขึ้นถวายในทิศพายัพแห่งต้นพระศรีมหาโพธิ์ ทรงประทับนั่งสมาธิในเรือนแก้ว
พิจารณาพระธรรมที่ตรัสรู้     เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาพระอภิธรรมถึงมหาปัฏฐาน
ซึ่งมีปัจจัย ๒๔ ขณะนั้นพระฉัพพรรณรังสี คือพระรัศมีที่เปล่งออกจากพระวรกาย
เป็นลำแสงประกอบด้วยสี ๖ สี  พระรัศมีเหล่านี้แผ่ซ่านจากพระวรกายเป็นสายรุ้ง
แวดล้อมไปโดยรอบ ครอบงำแสงสุริยาจนเศร้าหมองดุจแสงหิ่งห้อย
ทรงพิจารณาธรรมอยู่ ณ เรือนแก้วนั้นตลอดระยะเวลา ๗ วัน


ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง



บทภาพยนตร์



บรรยาย
           ครั้นเวลาหัวค่ำพระมหาบุรุษทรงเจริญสมาธิภาวนา บรรลุญาณที่หนึ่ง
คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ สามารถระลึกชาติหนหลังของพระองค์เองได้



บรรยาย
           ครั้นเวลาดึกสงัดก็บรรลุญาณที่สอง คือ ทิพพจักขุญาณสามารถหยั่งเห็น
การเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์



บรรยาย
           ครั้นเวลาใกล้รุ่งพระมหาบุรุษ  ก็สามารถทำให้กิเลสทั้งหลายดับสิ้นไป
จนได้บรรลุธรรมอันประเสริฐเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


หมายเหตุ
-หลังจากตรัสรู้ มีรายละเอียดพูดถึงการเยาะเย้ยตัณหาสามารถดับกิเลส
พ้นจาการเวียนว่ายตายเกิด



พระพุทธเจ้า
           กิเลสเอ๋ย เจ้าสร้างเรามาเป็นเวลาช้านานแล้วบัดนี้เราได้พบและทำลาย
เจ้าหมดสิ้นแล้ว


บรรยาย
           เมื่อพระมหาบุรุษตรัสรู้ธรรมสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว      ได้ประทับ
เสวยวิมุตติสุข ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นระยะเวลา ๗ วัน

           จากนั้นจึงเสด็จออกไปยืนกลางแจ้ง ทอดพระเนตรต้นพระศรีมหาโพธิ์
เพื่อระลึกคุณของพระศรีมหาโพธิ์ โดยไม่กระพริบพระเนตร และอยู่ในอิริยาบถนั้น
เป็นเวลา ๗ วัน



บรรยายต่อ
           ต่อมาจึงเสด็จไปจงกรมที่กึ่งกลางระหว่าง ต้นพระศรีมหาโพธิ์กับบริเวณ
ที่ยืนทอดพระเนตรเป็นเวลา ๗ วัน


บรรยาย
           เมื่อเสด็จจงกรมครบ ๗ วันแล้ว ในสัปดาห์ที่ ๔ ได้เสด็จไปประทับนั่งขัดสมาธิ
ในเรือนแก้ว  ซึ่งเทวดาเนรมิตขึ้นถวาย ซึ่งพระองค์ได้ทรงพิจารณาอภิธรรม
ในเรือนแก้วนั้นตลอดเวลา ๗ วัน






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น