วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2560

อัครสาวกบรรพชา


ไม่ไกลจากกรุงราชคฤห์เท่าไรนัก ที่ตำบลนาลันทามีหมู่บ้านพราหมณ์
สองหมู่บ้าน ชื่ออุปติสสคาม และ โกลิตคาม ในหมู่บ้านอุปติสสคามนั้น มีนายบ้าน
ชื่อวังคันตะ ภรรยาชื่อสารี มีบุตรชื่ออุปติสสมาณพ แต่เพราะเป็นบุตรของนางสารี
จึงนิยมเรียกกันว่า“สารีบุตร”ส่วนในบ้านโกลิตคามภรรยาของนายบ้านชื่อว่า โมคคัลลี มีบุตรชื่อ โกลิตมาณพ แต่นิยมเรียกกันว่า “โมคคัลลานะ” ตามชื่อของมารดา
ทั้งสองพากันเข้าไปขอฝากตัวเป็นศิษย์ศึกษาศิลปวิทยาในสำนักสัญชัยปริพาชก
ศึกษาอยู่ไม่นานก็สิ้นความรู้ของอาจารย์




         พระอัสสชิซึ่งเป็นหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ที่พระพุทธองค์ทรงส่งไปประกาศ
พระศาสนา ได้จาริกมาถึงกรุงราชคฤห์ และเข้าไปบิณฑบาตในเมือง อุปติสสปริพาชก
ออกจากอารามมาด้วยกิจธุระภายนอก เห็นท่านแสดงออกซึ่งปฏิปทาน่าเลื่อมใส
มีอาการแปลกจากบรรพชิตที่เคยเห็นมาแต่กาลก่อน อยากจะทราบว่าท่านบวช
ในสำนักของใคร ผู้ใดเป็นศาสดา แต่ก็มิอาจถามได้เพราะมิใช่กาลอันควร จึงเดินตามไป
ห่างๆ




       เมื่อพระเถระบิณฑบาตได้อาหารพอสมควรแล้ว จึงออกไปสู่ที่แห่งหนึ่ง
เพื่อทำภัตกิจ อุปติสสะได้จัดปูลาดอาสนะถวายน้ำใช้น้ำฉันและคอยเฝ้าปฏิบัติอยู่
ครั้นพระอัสสชิเถระทำภัตกิจเสร็จสิ้นแล้ว อุปติสสะก็เข้าไปถามตามที่คิดไว้แต่แรก
พระอัสสชิเถระจึงแสดงธรรมโดยย่อว่า
“ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น”


      อุปติสสะเพียงได้ฟังหัวข้อธรรมจากพระเถระก็ได้ดวงตาเห็นธรรมุ ว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไป
เป็นธรรมดา”


      อุปติสสะกราบลาพระเถระ ทำประทักษิณสามรอบแล้วรีบกลับไปยังสำนัก
ปริพาชก ส่วนโกลิตะผู้เป็นสหาย เห็นอุปติสสะมีผิวพรรณสง่าราศีดีกว่าวันอื่นๆ
จึงรีบสอบถาม เมื่ออุปติสสะแสดงหัวข้อธรรมให้ฟัง ก็ได้ดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน




       สองสหายตกลงกันที่จะพาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา จึงเข้าไปหาอาจารย์
สัญชัยปริพาชก ชักชวนให้ร่วมเดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยกัน  แต่อาจารย์
ก็ไม่ยอมไป เมื่อไม่สามารถจะโน้มน้าวจิตใจของอาจารย์ได้ สองสหายจึงพาบริวาร
ของตนจำนวน ๒๕๐ คน ออกจากสำนักไปเฝ้าพระบรมศาสดา ณ เวฬุวันวิหาร
เมื่อได้สดับพระธรรมเทศนาจบลงแล้ว บรรดาบริวารทั้งหมดได้บรรลุพระอรหัตผล
เว้นอุปติสสะและโกลิตะผู้เป็นหัวหน้า อุปติสสะและโกลิตะหลังจากบวชแล้วได้นามว่า
พระสารีบุตร และ พระโมคคัลลานะ




          พระโมคคัลลานะหลังจากบวชแล้ว ๗ วัน ได้รับพุทโธวาทจึงบรรลุเป็น
พระอรหันต์ ณ บ้านกัลลวาลมุตตคาม ส่วนพระสารีบุตรหลังจากบวชแล้ว ๑๕ วัน
ได้สดับพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาในยามเช้าแห่งวันมาฆปุรณมี
ณ ถ้ำสุกรขาตาข้างภูเขาคิชกูฏ แขวงเมืองราชคฤห์ จึงบรรลุเป็นพระอรหันต์


          ต่อมาพระบรมศาสดาได้ทรงประกาศในท่ามกลางสงฆ์แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
คู่พระอัครสาวก คือ ตั้งพระสารีบุตร ผู้ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะว่ามีปัญญาล้ำเลิศ
เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาและตั้งพระโมคคัลลานะผู้ได้รับการยกย่องเป็นเอตทัคคะว่า
มีฤทธิ์ล้ำเลิศเป็นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย




ที่มาจากพระไตรปิฎก อรรถกถาและคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง


บทภาพยนตร์


ดนตรีประกอบ

โกลิตะ
           อุปติสสะ ดูละครไม่สนุกหรือไง ถึงได้ทำหน้าเฉยเมย ไร้ความรู้สึกอย่างเงี้ย


อุปติสสะ
           ถามตัวท่านเองก่อนเถอะ โกลิตะ หน้าท่านก็ไร้ความรู้สึกเหมือนกันนั่นแหละ


โกลิตะ
          เฮ้อ …ทั้งคนแสดงและคนดูต่างก็มีอายุไม่เกินหนึ่งร้อยปี เดี๋ยวก็ตายกันหมดแล้ว
เรามัวแต่ดูการละเล่นหาความสุขสำราญ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรเลยควรจะรีบขวนขวาย
หาทางหลุดพ้นจากทุกข์ดีกว่า


อุปติสสะ
          เราเองก็คิดอย่างงี้เหมือนกัน … เอาอย่างนี้นะ … เราลองไปฝากตัวเป็นศิษย์
ตามสำนักอาจารย์กันมั๊ยล่ะ


โกลิตะ
          ท่านว่าสำนักไหน อาจารย์คนใดถึงจะดีล่ะ



อุปติสสะ
          เวลานี้ มีลัทธิต่างๆ อยู่มากมาย แต่เราน่าจะเลือกไปเป็นศิษย์ที่สำนักอาจารย์
สัญชัยปริพาชก เพราะเป็นสำนักใหญ่ มีคนเคารพนับถือมาก อยู่ในกรุงราชคฤห์
แค่นี้เอง


โกลิตะ
          นอกจากเราสองคนแล้วต้องชวนบริวารของพวกเราไปฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยนะ

อุปติสสะ
          ตกลง … พรุ่งนี้ไปกันเลย


อุปติสสะ
          เราสองคนศึกษาอยู่กับท่านอาจารย์ จนท่านหมดสิ้นความรู้แล้ว


โกลิตะ
          นั่นสิ … ที่สำคัญลัทธิของท่านอาจารย์ก็ไม่ใช่ทางหลุดพ้นอย่างที่ต้องการเลย


อุปติสสะ
          ถ้าอย่างงั้นเราต้องแสวงหาอาจารย์คนใหม่ สำนักใหม่ต่อไปอีก


โกลิตะ
          เราสองคนเป็นเพื่อนสนิทกันมานานแล้วเรามาสัญญากันดีกว่า
ว่าต่อไปถ้าใครพบทางหลุดพ้นจากทุกข์ก่อน ต้องบอกกันให้รู้ด้วยนะ

อุปติสสะ
          ตกลง...



ดนตรีประกอบ



อุปติสสะ (เสียงก้องในความคิด)
          นักบวชผู้นี้ มีกิริยาน่าเลื่อมใส … ไม่เหมือนนักบวชอื่นๆ ที่เคยเห็นมาก่อน …
เราต้องถือโอกาสนี้เข้าไปจัดอาสนะถวายและปรนนิบัติ รอให้ท่านฉันเสร็จ จึงค่อยสอบถามว่าเป็นนักบวชสำนักไหน … ถ้าจะดี



อุปติสสะ
          ข้าพเจ้าชื่อ อุปติสสะ แต่บางทีก็มีคนเรียกว่า สารีบุตร เพราะแม่ของข้าพเจ้า
ชื่อ นางสารี … ข้าพเจ้าขอถามท่านนักบวชสักนิดว่า ท่านบวชอยู่สำนักไหน
…ใครเป็นอาจารย์ของท่าน และท่านชอบใจธรรม หรือคำสอนของผู้ใด

พระอัสสชิ
           อาตมามีนามว่า พระอัสสชิ พระพุทธองค์ ผู้ออกบวชจากศากยวงศ์
เป็นศาสดาของอาตมา อาตมาเป็นสาวกและชอบใจธรรมของพระพุทธองค์


หมายเหตุ ในพุทธประวัติพระอัสสชิเรียกอุปติสสะว่า ปริพาชก แต่ในการทำบทการ์ตูน
ต้องการให้ผู้ชมเข้าใจได้ง่าย ไม่ซับซ้อนจากที่มาที่ไปซึ่ง อธิบายในช่วงเวลาสั้นๆ
ได้ยากจึงทำบทสนทนาให้ผู้ชมทราบทันทีว่า ก็คือ สารีบุตร



อุปติสสะ
           แล้วพระศาสดาของท่านสอนธรรมอย่างไรบ้าง


อัสสชิ
          อาตมาเพิ่งบวชได้ไม่นานนัก ไม่สามารถแสดงธรรมที่ลึกซึ้งแก่ท่านได้
แต่จะขอกล่าวให้ท่านฟังโดยย่อ …
“ ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดา ทรงแสดงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น ”



โกลิตะ
           โอ … อุปติสสะ แค่ท่านนำคำพูดไม่กี่ประโยคมาบอกต่อแก่เรา … เราก็เห็นธรรมแล้ว


อุปติสสะ
          รีบไปชักชวนท่านอาจารย์สัญชัย..  ไปสำนักพระศาสดาของพระอัสสชิกันเถอะ



สัญชัยฯ
           พวกเจ้าว่าในโลกนี้มีคนฉลาดหรือคนโง่มากกว่ากัน


อุปติสสะและโกลิตะ (พูดพร้อมกัน)
          คนโง่มากกว่าสิท่านอาจารย์



สัญชัยฯ
          ถ้าอย่างงั้นคนฉลาดก็จงไปสำนักของพระสมณโคดมนั่นเถอะ เราจะขออยู่ต้อนรับคนโง่ที่สำนักของเรานี่แหละ



พระพุทธเจ้า
          ภิกษุทั้งหลาย … สองสหายที่กำลังเดินเข้ามานั้น คือ คู่อัครสาวกของเรา



พระพุทธเจ้า
          ผู้ตั้งมั่นอยู่ในศีลสมบูรณ์แล้ว คือผู้เจริญสติรู้เท่าทันอารมณ์ต่างๆ อยู่โดยตลอด
เมื่อเห็นการเกิด การดับตามธรรมดาของอารมณ์เหล่านั้น ย่อมเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความยึดติด เมื่อคลายความยึดติด จิตก็หลุดพ้น


บรรยาย
          บรรดาบริวารของสองสหาย เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์จบ   ก็บรรลุ
พระอรหันต์ทั้งหมด เว้นแต่อุปติสสะกับโกลิตะ เท่านั้นที่ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ …
เพราะอัครสาวกทั้งสองมีญาณบารมี และภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ ไม่เชื่ออะไรโดยง่าย
จึงไม่สำเร็จได้ โดยฉับพลัน



พระพุทธเจ้า
          บัดนี้ท่านทั้งสองอยู่ในเพศบรรพชิตแล้ว เราขอบัญญัตินามตามชื่ออันเป็นมงคล
ของมารดาว่า....… พระสารีบุตร และ… พระโมคคัลลานะ
















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น